-->

Trending

Stopover / Transfer / Open Jaw / Multi-City คืออะไร รู้ก่อนบิน ไม่มีตกเครื่อง

 


การออกเดินทางท่องเที่ยว ถือเป็นการเปิดโลกกว้างในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ อารยธรรม วัฒนธรรมต่างๆของแต่ละประเทศ บางประเทศเป็นที่นิยม ก็อาจจะมีเที่ยวบินตรงคอยให้บริการ บางประเทศนักท่องเที่ยวไม่มาก เวลาเดินทางก็จะต้องต่อเครื่อง บางที่ไกลหน่อย อาจจะต้องต่อเครื่อง 1-2 รอบ เลยทีเดียว

เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และทำให้การท่องเที่ยวเป็นไปอย่างราบรื่น การทำความเข้าใจคำศัพท์ทางการบินจึงมีความสำคัญอย่างมาก นอกจากนี้ ศัพท์เหล่านี้มักถูกใช้อยู่ในเงื่อนไขแลกใช้ไมล์แลกตั๋วเครื่องบินอยู่บ่อยๆ

โดยศัพท์ทางการบิน 4 คำที่นิยมใช้กัน คือ Stopover / Transit / Open Jaw / Multi City

Stopover คืออะไร หมายความว่าอย่างไร


Stopover โดยความหมายแล้วคือการพักต่อเครื่องที่มีระยะเวลาเกินกว่า 24 ชั่วโมง

ตัวอย่าง เส้นทางกรุงเทพ-โตเกียว

ในการเดินทางไปเที่ยวโตเกียว ถ้าหากเป็นการบินตรงแบบไม่หยุดพัก (non-stop flight) ก็คือเราขึ้นเครื่องที่กรุงเทพ และลงเครื่องอีกทีที่โตเกียวเลย

ถ้าหากเราเลือกจองตั๋วแบบมี Stopover เช่น จองตั๋ว Cathay Pacific โดย Stopover ที่ฮ่องกง เราก็สามารถที่จะแวะเที่ยวฮ่องกงได้นานเท่าที่ต้องการ แล้วค่อยออกเดินทางจากฮ่องกงไปโตเกียวต่อนั่นเอง

เที่ยวบินที่ 1 : กรุงเทพ - ฮ่องกง

Stopover ฮ่องกง เที่ยวฮ่องกงได้ตามที่ต้องการ

เที่ยวบินที่ 2 : ฮ่องกง - โตเกียว

ข้อดีของ Stopover คือสามารถแวะเที่ยวประเทศระหว่างทางได้ ซึ่งมีหลายสายการบินที่อนุญาติให้เพิ่มจุด Stopover ในการแลกไมล์ได้ เช่น Asia Miles / British Executive Club Avios  / Singapore Krisflyer

Transfer คืออะไร หมายความว่าอย่างไร



Transfer คำนี้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยเสียเท่าไหร่ แต่ถ้าพูดถึงเที่ยวบินที่ต้องแวะพัก คนไทยมักจะพูดกันว่า Transit ซึ่งจริงๆ Transit และ Transfer มีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ไม่เหมือนกันซะทีเดียว

Transit คือการแวะพัก โดยไม่เปลี่ยนเครื่องบิน จุดสังเกตุคือ เราจะได้ Boarding Pass มา 1 ใบพร้อมหมายเลขเที่ยวบิน เช่น CX001

Transfer คือการแวะพัก โดยจะต้องเปลี่ยนเครื่องบิน จุดสังเกตุคือ เราจะได้ Boarding Pass มา 2 ใบตั้งแต่ต้นทาง โดยทั้ง 2 ใบจะมีหมายเลขเที่ยวบินที่แตกต่างกัน

นอกจากนี้แล้ว Transfer กับ Stopover ก็ยังมีความหมายใกล้เคียงกันอีก เพราะเป็นการแวะพักและเปลี่ยนเที่ยวบินทั้งคู่ โดยความแตกต่างของ Transfer และ Stopover อยู่ที่เรื่องของเวลาในการแวะพักนั่นเอง
Transfer คือการแวะพักเพื่อเปลี่ยนเครื่อง โดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน 24 ชั่วโมง
Stopover คือการแวะพักเพื่อเปลี่ยนครื่อง โดยใช้ระยะเวลาเกิน 24 ชั่วโมง

อย่างกรณีของ Asia Miles การแลกตั๋วเครื่องบินไปกลับด้วยสายการบิน Cathay Pacific จะถูกกำหนดให้แลกตั๋วเครื่องบิน 1 trip โดยมีได้ 2 Transfer + 1 Stopover หมายความว่า ถ้าเราเลือกเส้นทางกรุงเทพ-ญี่ปุ่น เราสามารถเลือกแวะ Transfer ที่ฮ่องกงได้ 1 คืน (ไม่เกิน 24 ชั่วโมง) ทั้งขาไปและขากลับนั่นเอง

Open Jaw คืออะไร หมายความว่าอย่างไร


Open Jaw เป็นอีกศัพท์ทางการบินที่ไม่ได้เห็นกันบ่อยๆ แต่มีประโยชน์มากๆในการใช้ไมล์แลกตั๋วเครื่องบิน ถ้าแปลแบบบ้านๆ Jaw ก็คือกราม Open-Jaw ก็คือลักษณะของกรามตอนอ้าปาก ซึ่งมีลักษณะคล้ายเส้นทางการบินตามภาพ
Open-Jaw ความหมายตามการบิน คือการที่ เราเดินทางไปกลับ โดยสนามบินของจุดเริ่มต้น หรือ สนามบินของจุดหมายปลายทาง ไม่ใช่สนามบินเดิม โดย Open-Jaw จะมีทั้งหมด 3 ประเภท



Open-Jaw at Point of Origin คือการที่เราจองตั๋วไปกลับ โดยไม่ได้กลับมาที่เมืองเดิม เช่น ออกจากกรุงเทพ แต่ขากลับไปลงที่สิงคโปร์

Open-Jaw at Turnaround Point คือการที่จุดหมายปลายทางของขาไป กับจุดเริ่มต้นของขากลับ เป็นคนละเมืองกัน เช่น คนญี่ปุ่นเดินทางจากโตเกียวมาเที่ยวกรุงเทพ แต่ตอนกลับอยากกลับโตเกียวโดยออกจากสิงคโปร์

Double Open-Jaw คือการที่จุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง ของทั้งขาไปและขากลับเป็นคนละเมืองกัน

ข้อดีของการจองแบบ Open-Jaw นอกจากเรื่องการวางแผนการท่องเที่ยวที่สะดวกไม่ต้องย้อนไปมาแล้ว ยังมีเรื่องของจำนวนไมล์ที่ใช้ในการแลกตั๋วเครื่องบินด้วย


ตัวอย่างของ Asia Miles เดินทางเที่ยวโตเกียว-โอซาก้า
หากเราเดินทางจากกรุงเทพไปโตเกียว Business Class ระยะทางบิน 2,860 ไมล์ จะต้องใช้ทั้งหมด 45,000 ไมล์ และถ้าเราเดินทางกลับจากโตเกียวมายังกรุงเทพ ก็จะใช้เพิ่มอีก 45,000 ไมล์ รวมเป็น 90,000 ไมล์

แต่ถ้าเราวางแผนเที่ยวจากโตเกียวไปโอซาก้า และเดินทางกลับกรุงเทพจากโอซาก้า ระยะทางบินจะอยู่ที่ 2,600 ไมล์ ซึ่งจะเพียง 25,000 ไมล์ในการแลกตั๋ว Business Class ซึ่งทำให้เราท่องเที่ยวสะดวกขึ้นเพราะไม่ต้องเดินทางย้อนไปมา แถมยังประหยัดจำนวนไมล์ในการแลกตั๋วเครื่องบินไปถึง 20,000 ไมล์ต่อที่นั่ง

Multi-City คืออะไร

การจองตั๋วเครื่องบินแบบทั่วไป ก็คือเรากดจองแบบ One-Way หรือ Round-Trip (ไปกลับ) โดยระบุสนามบินที่เราจะออกเดินทาง พร้อมกับระบุสนามบินที่เราต้องการจะไป


แต่สำหรับการท่องเที่ยวหลายๆเมือง หรือหลายๆประเทศในทริปเดียวกัน การกดจองตั๋วแบบ Multi-City จึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆที่จะทำให้เราไม่ต้องเดินทางย้อนไปมา อีกทั้งยังมีโอกาสที่จะได้ตั๋วในราคาที่ถูกขึ้นอีกด้วย

ตัวอย่าง 
หากเดินทางไปกลับระหว่างกรุงเทพ-ปารีส ค่าตั๋วจะอยู่ที่ 25,730 บาท 
แต่ถ้าเรามีแผนการเดินทางท่องเที่ยวหลายประเทศ อย่างการเที่ยวปารีส แวะบรัสเซลส์ ไปจนถึงอัมสเตอร์ดัม การเลือกเดินทางกลับจากอัมสเตอร์ดัม ก็จะทำให้ค่าตั๋วถูกลงอีก 1,020 บาท แถมยังไม่ได้เดินทางย้อนกลับไปขึ้นเครื่องบินที่ปารีสอีกด้วย



Post a Comment

Previous Post Next Post